Back

น้ำตาลบุรีรัมย์ กำไรพุ่ง 221%

น้ำตาลบุรีรัมย์ ไตรมาสแรกกำไรทะยานแรง 221% รับผลจากราคาน้ำตาลตลาดโลกพุ่งสูง เสริมด้วยอ้อย และผลผลิตน้ำตาลมากขึ้น ควบคู่กับโรงไฟฟ้าชีวมวลเดินเครื่องเต็มสูบ ส่วนยอดขายปุ๋ยก็ขยายตามพื้นที่ปลูกอ้อย พร้อมลุยขยายพื้นที่เพิ่มปริมาณอ้อยและน้ำตาลในหีบหน้า เร่งเจรจาพันธมิตรสร้างโรงงานแห่งใหม่ ขณะที่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าฯ ใกล้คลอดภายในปีนี้

นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 2,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มีรายได้รวม 1,496 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.59 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่มีกำไรต่อหุ้น 0.18 บาท อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31% ส่วนอัตรากำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 18.40 % จากปีก่อนที่ 8.37 %

กำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในช่วงไตรมาส 1 เป็นผลมาจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน ควบคู่กับความต้องการบริโภคทั้งใน และต่างประเทศ ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีผลผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มประสิทธิผลการผลิต การพัฒนาศักยภาพเกษตรกรนักธุรกิจชาวไร่อ้อยตามปรัชญา “น้ำตาลสร้างในไร่” ประกอบกับรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้า และปุ๋ยก็ปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับฤดูการผลิตปี 2559/60 ซึ่งปิดหีบไปเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทสามารถหีบอ้อยได้รวม 2.21 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากฤดูการผลิตก่อนหน้าที่มีปริมาณอ้อย 2.06 ล้านตัน และได้ผลผลิตน้ำตาลทรายกว่า 251,000 ตัน ปัจจุบัน บริษัทยังมุ่งการพัฒนาด้านอ้อย การเพิ่มศักยภาพของเกษตรกร และการขยายพื้นที่เพาะปลูก คาดว่าจะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบแตะ 3 ล้านตันในปีการผลิตหน้า

ขณะที่ทิศทางราคาน้ำตาลนั้น มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น หลังจากปัญหาภัยแล้งในประเทศผู้ผลิตสำคัญอย่างอินเดีย จีน และไทย คลี่คลายลง คาดราคาน้ำตาลตลาดโลกปีนี้วิ่งอยู่ในช่วง 15-18 เซ็นต์ต่อปอนด์ ส่วนในปีการผลิตปัจจุบันนี้ บริษัทได้ทำสัญญาขายน้ำตาลล่วงหน้าไปเกือบหมดแล้วในช่วงที่ราคาตลาดโลกสูงกว่า 20 เซนต์ต่อปอนด์ และจะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาสต่อๆ ไปตามสัญญาการส่งมอบน้ำตาล

นายอนันต์ ยังระบุด้วยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรทั้งใน และต่างประเทศ เพื่อร่วมลงทุนก่อสร้างโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ในจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 2561 เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำตาลที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และโดยเฉพาะในทวีปเอเชีย ที่ถือว่าเป็นตลาดน้ำตาลทรายที่มีพลวัตรสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีความต้องการบริโภคปีละ 77-80 ล้านตัน แต่ผลิตได้เพียง 65-68 ล้านตัน และยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ปีละ 1.6-1.7%

นอกจากนี้ จากแผนการเพิ่มพื้นที่ปลูกอ้อย และปริมาณอ้อยที่จะเพิ่มขึ้นแตะ 3 ล้านตัน ทำให้บริษัทเตรียมลงทุนขยายธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล โดยปัจจุบันอยู่ในช่วงรอการเปิดรับซื้อไฟฟ้าชีวมวลของภาครัฐ พร้อมกับเสริมว่า อุตสาหกรรมอ้อย และน้ำตาลทรายเป็นอุตสาหกรรมเกษตรที่มีเสถียรภาพมากที่สุดอันหนึ่ง มีศักยภาพในการต่อยอดสู่อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน และอุตสาหกรรมชีวภาพที่กำลังเป็นกระแสของโลก

ปัจจุบัน บริษัทมีโรงไฟฟ้า 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท บุรีรัมย์พลังงาน จำกัด (BEC) บริษัท บุรีรัมย์เพาเวอร์ จำกัด (BPC) ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 3 คือ บุรีรัมย์เพาเวอร์พลัส จำกัด (BPP) มีกำลังการผลิตโรงละ 9.9 เมกะวัตต์ (MW) เท่าๆ กัน โดยโรงไฟฟ้า BEC และ BPC ขายไฟให้กับการไฟฟ้าโรงละ 8 เมกะวัตต์ (MW) รวม 16 เมกะวัตต์ (MW)

นายอนันต์ เสริมว่า สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ หรือ BRRGIF นั้น ได้ส่งเรื่องให้ ก.ล.ต. พิจารณาแล้ว และคาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยเม็ดเงินที่ได้จะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และต่อยอดธุรกิจน้ำตาลทราย และธุรกิจต่อเนื่อง

โดย MGR Online
16 พฤษภาคม 2560