ตลอดระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษ กลุ่มบริษัทน้ำตาลบุรีรัมย์ มุ่งมั่นในการสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็มุ่งที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นหลักให้มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย มาประยุกต์ใช้ในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ให้เป็น ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงขึ้น

บริษัทได้ศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท รวมทั้งยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาบุคลากรของบริษัทและชาวไร่อ้อยควบคู่กันไป ตามพันธกิจสร้าง นักธุรกิจชาวไร่

นายศิริชัย สมบัติศิริ

ประธานกรรมการบริษัท

นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและ
กรรมการผู้จัดการ

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอย ประกอบกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคทั่วโลก รวมทั้งภาคการผลิตและการท่องเที่ยว ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ทั้งนี้ บริษัทมีความตระหนักที่ต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากภาวะวิกฤต จึงทบทวนและปรับปรุงแผนธุรกิจ ทั้งในด้านแนวทางการหารายได้ การบริหารจัดการต้นทุนและลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการวางแผนการลงทุนตลอดจนการจัดทําแผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan : BCP) อย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถดําเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้สําหรับการดําเนินงานในปี 2563 อุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลต้องเผชิญความท้าทายด้านผลผลิตจากภาวะภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี ปริมาณผลผลิตอ้อยลดลงกว่า 44% โดยคงเหลือประมาณ 73 - 75 ล้านตันอ้อย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ําตาลทรายรายใหญ่ เช่น อินเดีย อย่างไรก็ตาม บริษัทเตรียมแผนรับมือปัจจัยดังกล่าว โดยเน้นบริหารพื้นที่เพาะปลูกอ้อยเพื่อรักษาปริมาณและคุณภาพผลผลิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการหีบสกัดให้ได้ผลผลิตน้ําตาลต่อตัน อ้อย (ยิลด์) และใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์น้ําตาลทราย เพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตรายย่อยและผู้บริโภคทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น ทั้งนี้ พฤติกรรมและแนวโน้มการบริโภคน้ําตาลที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 2-3ปี ที่ผ่านมา ผู้บริโภคใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น นิยมความหวานน้อยลง ทําให้การผลิตในอุตสาหกรรมอาหารมีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ําตาลมากขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกมีทิศทางชะลอตัวต่อ เนื่องโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการส่งออก ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตาม

ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าหลักภายใต้ตราสินค้า Brum ได้แก่ น้ําตาล ทรายขาวบริสุทธิ์, น้ําตาลทรายสีรธรรมชาติ และน้ําตาลทรายขาว ซึ่งบริษัทใช้กลยุทธ์ทางการตลาดต่าง ๆ เพื่อสร้างตราสินค้า “Brum” ให้เป็นที่จดจําของตลาด โดยลูกค้าของบริษัท ได้แก่ ลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม ลูกค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรต ผู้กระจายสินค้าและช่องทางธุรกิจโดยตรง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง Brand Loyalty ที่ยั่งยืนในอนาคต

จากผลกระทบของปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ดังกล่าว ทําให้ผลการดําเนินงานในรอบปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการรวม 3,892 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิ 6.17 ล้านบาท โดยสาเหตุสําคัญที่ผลการดําเนินงานปรับตัวลดลง เนื่องจากสัดส่วนต้นทุนการผลิตน้ําตาลเพิ่มสูงขึ้นในส่วนของการใช้พลังงานไฟฟ้า ไอน้ำ ไม้สับ และค่าแรง อีกทั้งโครงการบรรจุภัณฑ์ชานอ้อยของบริษัท ชูการ์เคน อีโคแวร์ จํากัด ("SEW") ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายและการหาตลาดใหม่ภายในประเทศ เพื่อทดแทนยอดขายของการส่งออกยังไม่เพียงพอ จึงทําให้ไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันกลุ่มบริษัท มีค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าใช้จ่าย ในการบริหารและต้นทุนทางการเงิน เพื่อปรับธุรกิจให้มีความหลากหลายมากขึ้นและเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ําตาลทรายในตลาดโลก โดยเฉพาะการเพิ่มทางเลือกด้านผลิตภัณฑ์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในเรื่องการใช้ภาชนะกระดาษย่อยสลายได้แทนพลาสติก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการดําเนินงานในปี 2563 จะลดลง แต่บริษัทก็ยังคงให้ความสําคัญในการกําหนดและจัดลําดับความสําคัญด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้สนับสนุนการเพาะปลูกและกระบวนการผลิต รวมทั้งการให้ความรู้แก่ชาวไร่ ตามพันธกิจสร้าง “นักธุรกิจชาวไร่” เพื่อให้อาชีพเพาะปลูกอ้อยเป็นอาชีพที่มั่นคง มีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยที่สําคัญของความสําเร็จในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนของบริษัท รวมถึงการให้ความสําคัญกับผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกของบริษัท

ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ร่วมจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน เอส.ที ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของชุมชนสาวเอ้ ชุมชนโนนกลาง ชุมชนโนนเต่าทอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน เนื่องจากความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทคือหนึ่งในกุญแจสําคัญที่จะนําพาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการพัฒนาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวไร่อ้อย ชุมชน ข้างเคียงและพนักงานให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ จากการดําเนินงานด้านการกํากับดูแลกิจการที่ดีมาอย่างต่อเนื่องทําให้บริษัทได้รับผลประเมินระดับ “ดีเลิศ” หรือ “Excellent” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีระดับคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 94 ซึ่งสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่อยู่ในระดับร้อยละ 83 จากโครงการสํารวจการกํากับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนประจําปี 2563 ซึ่งจัดโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยผลความสําเร็จสะท้อนถึงการปฏิบัติงานที่คณะกรรมการบริษัท ผู้บริหาร ตลอดจนพนักงานมีต่อองค์กรผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ด้วยการยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลอย่างแน่วแน่

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้อยู่ใน “รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI” ประจําปี 2563 หรือ Thailand Sustainability Investment List 2020 กลุ่มธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร เป็นครั้งแรก ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท ที่ให้ความสําคัญกับการดําเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

สุดท้ายนี้ในนามของคณะกรรมการบริษัท คณะผู้บริหารและพนักงานทุกคน บริษัทขอขอบคุณลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น พันธมิตรทางธุรกิจและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนการดําเนินงานของกลุ่มบริษัทด้วยดีตลอดมา และขอให้เชื่อมั่นว่ากลุ่มบริษัทจะสามารถดําเนินธุรกิจและนําพาบริษัทผ่านวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ไปได้อย่างมั่นคง และบริหารกิจการได้อย่างยั่งยืนสืบไป